หลาย ๆ คนสงสัยไหมว่าเฟอร์นิเจอร์หรือโต๊ะทำงานที่เราใช้อยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ออฟฟิศนั้น จริง ๆ แล้วทำมาจากไม้อะไร และทำไมราคาถึงแตกต่างกันไปมาก บางรุ่นราคาหลักพัน แต่บางรุ่นอาจสูงถึงหลักหมื่น ความแตกต่างนี้ส่วนใหญ่เกิดจาก “วัสดุไม้” ที่นำมาใช้ผลิต เพราะไม้แต่ละประเภทมีคุณสมบัติ ความแข็งแรง ความทนทาน และความสวยงามไม่เหมือนกัน
เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่นิยมใช้กันในท้องตลาดมีอยู่หลายประเภท ทั้งไม้จริงและไม้แปรรูปหลากชนิด ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันออกไป เช่น เรื่องราคา ความทนทาน อายุการใช้งาน รวมถึงความสวยงามของลายไม้
บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับวัสดุไม้แต่ละประเภทที่มักใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน ตู้เอกสาร หรือเก้าอี้ พร้อมอธิบายข้อดี–ข้อเสีย และแนวทางเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ เพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเลือกโต๊ะทำงานแบบไหนให้คุ้มค่าและตอบโจทย์ที่สุด เริ่มที่เนื้อไม้ด้านในของเฟอร์นิเจอร์กันเลย
"Core Materials แกน/เนื้อไม้"
1. Blockboard (บล็อกบอร์ด)
ผลิตจากการนำ ไม้แปรรูปมาต่อกันเป็นไส้ไม้ โดย แกนกลาง (Core) ทำจาก ไม้เนื้ออ่อน (softwood strips) เช่น ไม้ป็อบลาร์, ไม้สน, ไม้เบิร์ช ไส้ไม้เหล่านี้ถูกต่อเข้าด้วยกัน (finger joint) และทากาว แกนไม้เนื้ออ่อนช่วยให้ น้ำหนักเบา แต่ยังแข็งแรงและยึดสกรูได้ดี
ข้อควรระวัง:
2. ไม้ปาติเกิ้ล (Particle Board) ไม้ปาติเกิ้ลบอร์ดเป็นไม้ที่มีราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย น้ำหนักเบาและสามารถผลิตหรือตัดได้หลากหลายรูปแบบโดยกระบวนการเกิดจากการที่นำเศษไม้หรือเศษขี้เลื่อย (โดยส่วนมากเป็นไม้ยางพารา) มาอัดกันแน่น และผ่านประบวนการทางเคมีต่าง ๆ จนได้เป็นไม้หนึ่งแผ่น
ข้อดี: ราคาย่อมเยา น้ำหนักเบา
ข้อควรระวัง: ไม่แข็งแรงเท่าไม้อัดหรือ MDF เสียหายและบวมง่ายเมื่อโดนน้ำ อายุการใช้งานสั้น รับน้ำหนักมากไม่ได้
3. ไม้ MDF (Medium-Density Fiberboard)ไม้ MDF เป็นไม้ที่มีกระบวนการคล้ายกันกับไม้ปาติเกิ้ลบอร์ดแต่ต่างกันตรงที่ไม้ MDF แข็งแรงมากกว่าเพราะมีการอัดแน่นและผ่านความร้อนที่สูงกว่า รวมไปถึงเนื้อผิวที่มีความละเอียดและเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น มีผิวที่เรียบเนียนสม่ำเสมอ สวยงามมากกว่ารวมถึงมีน้ำหนักที่หนักกว่าไม้ปาติเกิ้ลเพราะความหนาแน่นที่มากกว่าของมันนั่นเอง ข้อดีคือแผ่นไม้แน่นแข็งแรงและทนทาน ข้อด้อยคือน้ำหนักเยอะกว่าไม้ปาติเกิ้ลและราคาแพงมากกว่า
ข้อดี:
ราคาถูกกว่าไม้จริง
4. ไม้ HMR (High Moisture Resistant MDF)
เป็น MDF ชนิดต้านทานความชื้น พัฒนามาจาก MDF ปกติ ผลิตจาก ไม้สับหรือไฟเบอร์ไม้ + กาวพิเศษ ที่ช่วยให้ทนความชื้นได้มากขึ้น เหมาะกับงาน เฟอร์นิเจอร์ครัว, ตู้, บานประตู, ผนัง ที่อาจโดนความชื้นบ้าง น้ำหนักใกล้เคียง MDF ปกติ แต่เพิ่มความทนชื้นและอายุการใช้งาน
แข็งแรงสู้ HDF หรือไม้จริงไม่ได้ รับน้ำหนักมากหรือกระแทกแรงไม่ดีเท่า
5. ไม้ HDF (High Density Fiberboard)
ผลิตจาก ไม้ยางพารา อัดประสานด้วยกาวพิเศษ ทนความชื้นสูง เพิ่มปริมาณเส้นใยไม้และความหนาแน่นเยอะว่าไม้ MDF แข็งแรงกว่า MDF ทั่วไปถึง 3 เท่า รับน้ำหนักและแรงกดทับได้ดีเยี่ยม
6. ไม้คอมแพคลามิเนต (Compact Laminat)
Compact Laminate คือ แผ่นลามิเนตความหนาแน่นสูง ที่ผลิตโดยการอัด กระดาษ Kraft และเมลามีนเรซิน กระดาษตกแต่ง ภายใต้ความร้อนและแรงดันสูง ไม่จำเป็นต้องมีฐานรอง เช่น MDF หรือ HDF เพราะ ตัวแผ่นแข็งแรงและรับแรงเองได้ สรุปอย่างง่ายคือ คอมแพคลามิเนต เกิดจาก กระดาษคราฟท์หลายชั้น + เมลามีนเรซิน + กระดาษตกแต่ง → อัดร้อนแรงดันสูง → แผ่นหนาแน่น แข็งแรง ทนชื้น ทนรอยขีดข่วน
7. ไม้จริง หรือไม้แท้ (Solid Wood)
ไม้จริงเป็นไม้ที่เกิดจากไม้ธรรมชาติทั้งแผ่น ไม่ได้ผ่านกระบวนการบดและอัดแน่นใด ๆ มีความหนามากเพราะเป็นไม้เนื้อเดียวกันทั้งแผ่น แต่จะผ่านกระบวนการอาบน้ำยาและการอบแห้ง แล้วนำไปทำหารลดความชื้น
ราคาสูง น้ำหนักมาก อาจหด-ขยายตามสภาพอากาศ
สรุปลักษณะเนื้อไม้แต่ละแบบ
"Finish surface งานปิดผิว"
ผ่านไปแล้วกับกระบวนการทำแผ่นไม้ต่าง ๆ ต่อไปจะเป็นกระบวนการปิดผิวไม้ โดยวัสดุที่ใช้ปิดผิวไม้มีหลากหลายประเภทหลัก ๆ จะเป็น ผิวเมลามีน ผิวลามิเนต ผิวกระดาษ และผิวพีวีซี ดังนี้
1. ผิวเมลามีน (Melamine Paper Films Foil)เมลามีนเป็นวัสดุที่ทำจากระดาษหลาย ๆ ชั้น นำมาอัดแน่นทับกันและเคลือบเงาอีกที มีความหนาประมาณ 0.3-0.4 มิลลิเมตร มีลวดลายสวยงามเหมือนลายไม้ธรรมชาติจริง ๆ นิยมมากที่สุดในการทำมาปิดผิวโต๊ะทำงานอีกด้วย
2. ผิวลามิเนต (Formica หรือ HPL : High Pressure Laminate) ลามิเนตหรือที่เรียกกันว่าฟอร์ไมก้า เป็นกระบวนการที่เกิดจากการนำแผ่นวัสดุ (เช่น กระดาษหรือฟิล์ม) เหมือนหรือต่างกัน ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แล้วอัดประกอบขึ้นมาเป็นวัสดุใหม่แผ่นเดียวที่เรียกว่าแผ่นลามิเนตโดยเฉพาะ ซึ่งลามิเนตจริงๆแล้วไม่ใช่วัสดุ แต่เป็นกระบวนการทำงาน โดยลามิเนตมองด้วยตาแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นไม้หรือลามิเนตเนื่องจากมีลวดลายที่เหมือนไม้ธรรมชาติ ความหนาประมาณ 0.6-1.0 มิลลิเมตร
3. ผิวกระดาษ (Paper Foil หรือ P.U. Paper)
กระดาษพิมพ์ลวดลายแล้วปิดหน้าด้วยกาว และเคลือบด้วยเรซิ่นอีกที ส่วนความแข็งแรงจะขึ้นอยู่กับความหนาของวัสดุที่ใช้เคลือบ ตัวอย่างงานผิวกระดาษที่เราเห็นกันบ่อย ๆ คือโต๊ะผู้บริหารสไตล์คลาสสิกนั่นเอง
4. พีวีซี (P.V.C : Polyvinyl Chloride)
พีวีซีทำมาจากพลาสติกและมีการพิมพ์ลายเลียนแบบสีไม้ธรรมชาติ มีความหนาประมาณ 0.15 มิลลิเมตร ปิดผิวโดยใช้กาวและความร้อนสูงเป็นตัวเชื่อม
สรุปการเปรียบเทียบงานปิดผิว (Finish Surface)
-